หลายคนซื้อแอปเปิ้ลวอชมาใช้งานแล้วประทับใจในฟีเจอร์ ทั้งการวัดชีพจร ติดตามการออกกำลังกาย ไปจนถึงการรับสายโทรศัพท์บนข้อมือ แต่เมื่อใช้ไปสักพัก อาการ “แบตหมดไว” เริ่มคืบคลานเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว บางคนคิดว่าเครื่องเริ่มเสื่อม บางคนรีบเปลี่ยนรุ่นใหม่ ทั้งที่จริงแล้ว ปัญหามักเกิดจากการดูแลแบตเตอรี่ที่ผิดวิธี
บทความนี้จะชวนดู 5 เทคนิคง่าย ๆ ในการยืดอายุแบตเตอรี่ให้ใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพได้ยาวนานขึ้นกัน
- อย่าชาร์จจนเต็ม 100% หรือให้แบตเหลือต่ำกว่า 10% บ่อย ๆ
แอปเปิ้ลวอชใช้แบตเตอรี่แบบ Lithium-ion ซึ่งมีอายุการใช้งานตาม “รอบการชาร์จ” และจะเสื่อมเร็วกว่าหากชาร์จจนเต็ม 100% หรือลดต่ำจนเหลือ 0% บ่อย ๆ
คำแนะนำคือ พยายามรักษาระดับแบตให้อยู่ระหว่าง 30%-80% จะช่วยยืดอายุแบตในระยะยาว และถ้าไม่ได้ใช้งานฟีเจอร์หนัก ๆ ระหว่างวัน ไม่จำเป็นต้องชาร์จข้ามคืนก็ได้
- ใช้ที่ชาร์จของแท้ หรือผ่านการรับรอง MFi เท่านั้น
หลายคนพกแท่นชาร์จราคาถูกจากร้านทั่วไปมาใช้งานกับนาฬิกา ซึ่งอาจจ่ายไฟไม่สม่ำเสมอ จนทำให้แบตเสื่อมไวโดยไม่รู้ตัว แนะนำให้เลือกใช้ที่ชาร์จที่ปลอดภัย อย่างแท่นชาร์จที่มาพร้อมกับเครื่อง หรือหากซื้อเพิ่มเติม ให้มองหาสัญลักษณ์ “Made for Apple Watch” (MFi) ทุกครั้ง
- ปิดฟีเจอร์ที่ไม่ได้ใช้ระหว่างวัน
บางฟีเจอร์ของแอปเปิ้ลวอช อย่าง Always-On Display, Background App Refresh หรือการแจ้งเตือนจากทุกแอป อาจทำให้แบตหมดเร็วโดยไม่จำเป็น ลองตั้งค่าปิดฟีเจอร์ที่ไม่ได้ใช้ หรือปรับให้อัพเดตข้อมูลเป็นระยะ
การตั้งค่าที่แนะนำ
- ปิด Always-On Display หากไม่ได้ต้องการเห็นหน้าจอตลอดเวลา
- ปิดการแจ้งเตือนจากแอปที่ไม่จำเป็น เช่น โซเชียลบางตัว
- เปิด Low Power Mode ในวันที่ไม่ได้ออกกำลังกายหรือเดินทางไกล
- หลีกเลี่ยงความร้อนสูง ศัตรูตัวร้ายของแบตเตอรี่
แอปเปิ้ลวอชไม่ควรโดนแดดโดยตรงเป็นเวลานาน หรืออยู่ใกล้แหล่งความร้อน เช่น ใกล้เตาอบ หรือทิ้งไว้ในกระเป๋าร้อน ๆ ขณะชาร์จ เพราะอุณหภูมิสูงจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วขึ้นแบบถาวร
- อัปเดต watchOS อย่างสม่ำเสมอ
Apple มีการปล่อยอัปเดตระบบเพื่อปรับปรุงการจัดการพลังงานอยู่เรื่อย ๆ การอัปเดตเวอร์ชันล่าสุดช่วยให้แบตใช้งานได้นานขึ้นในหลายกรณี แนะนำให้เช็กอัปเดตทุกเดือน และสำรองข้อมูลก่อนทำการอัปเดตเสมอ
สรุปแล้ว การดูแลแบตแอปเปิ้ลวอชไม่ยาก แต่ต้องใส่ใจเรื่องเล็ก ๆ ที่มองข้ามกันบ่อย การดูแลแบตให้ใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพในระยะยาว จำเป็นต้องอาศัยความเข้าใจเรื่องพฤติกรรมการชาร์จ การตั้งค่า และการเลือกใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสม
เพียงแค่ทำตาม 5 เทคนิคนี้ ไม่เพียงแต่ช่วยให้แบตอยู่ได้นานขึ้นในแต่ละวัน แต่ยังยืดอายุการใช้งานของตัวเครื่องโดยรวมได้หลายปีเลยทีเดียว