คุณครูสามารถพานักเรียนมาเรียนในห้องสมุดได้ แต่…

เรื่องเก่าเล่าใหม่วันนี้ ขอนำเสนอเรื่องปัญหาของห้องสมุดสถานศึกษานะครับ
หลายคนคงเคยเจอปัญหาเกี่ยวกับการที่คุณครูพานักเรียนมาเรียนในห้องสมุนะครับ
เอาเป็นว่าเรามาร่วมกันเสนอแนะแนวทางในการแก้ปัญหาดีกว่า

teacher-in-library

แต่ก่อนอื่นมาฟังเรื่องราวที่เกิดกับผมก่อนดีกว่า…

ณ โรงเรียนแห่งหนึ่ง ในคาบวิชาสังคมศึกษา ของระดับชั้น…
คุณครูที่สอนในวิชานี้ได้นำนักเรียนในห้องที่สอนมาที่ห้องสมุด
และบอกกับบรรณารักษ์ว่า “จะนำนักเรียนมาหาข่าวหนังสือพิมพ์เพื่อให้เด็กทำรายงาน”
โดยขอให้บรรณารักษ์ช่วยเตรียมหนังสือพิมพ์เก่าๆ ให้หน่อย เพื่อให้เด็กๆ หาข่าว และตัดข่าวได้
บรรณารักษ์ก็ได้จัดเตรียมให้ตามคำขอของคุณครูท่านนี้

หลังจากที่คุณครูมอบหมายงานให้นักเรียนเสร็จ
นักเรียนก็แยกย้ายกันไปทำงานตามโต๊ะของตัวเอง

จากนั้นบรรยากาศความสนุกสนานก็เกิดขึ้น นักเรียนทำงานไปก็คุยไป ตะโกนคุยกันไปมา
จนผู้ใช้บางส่วนที่เป็นคุณครูก็เข้ามาบอกบรรณารักษ์ว่าให้ช่วยตักเตือนนักเรียนเหล่านี้หน่อย
บรรณารักษ์ก็เดินไปเตือนหลายครั้ง เตือนทีก็เงียบที พอบรรณารักษ์เดินกลับมาเสียงก็ดังอีก

ส่วนคุณครูที่มอบหมายงานให้นักเรียนนั้น ก็นั่งอ่านนวนิยายตามสบาย โดยที่ไม่เตือนลูกศิษย์กันเลย

พอหมดคาบคุณครูท่านนี้ก็เช็คชื่อนักเรียน โดยการเรียกชื่อทีละคน
ซึ่งการเรียกชื่อของคุณครูท่านนี้คงกะว่าไม่ว่านักเรียนจะอยู่ส่วนไหนของห้องสมุด ก็คงต้องได้ยิน
เนื่องจากพลังเสียงของคุณครูท่านนี้ดีมาก เรียกทีเดียวคนหันมามองทั้งห้องสมุดเลย

พอคุณครูท่านนี้พานักเรียนกลับไปแล้ว บรรณารักษ์ก็ต้องตกตะลึงอีกรอบ
คือ หนังสือพิมพ์ที่ตัดกันเกลื่อนกลาดไม่ยอมเก็บให้ด้วย ต้องให้บรรณารักษืมาตามเก็บทีหลังอีก

สำหรับความคิดของผมแล้ว การที่คุณครูพานักเรียนมาที่ห้องสมุดผมถือว่าดีนะครับ
เพราะถือว่าเป็นการส่งเสริมให้นักเรียนเข้าใช้ห้องสมุดด้วย

แต่ถ้าคุณครูจะสอนหนังสือไปด้วย ผมว่าคุณครูกลับไปสอนที่ห้องเรียนน่าจะดีกว่านะครับ

ถ้าในห้องเรียนไม่มีหนังสือพิมพ์ ก็มาบอกกับบรรณารักษ์ได้ครับ เดี๋ยวบรรณารักษ์จัดไปส่งถึงที่เลย
อย่างน้อยห้องเรียนคงเสียงดังได้มากกว่าห้องสมุด เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนผู้ใช้ห้องสมุดคนอื่นๆ นะครับ
และคุณครูครับ การมอบหมายงานกรุณามอบหมายให้เสร็จในห้องเรียนไม่ใช่มามอบหมายที่ห้องสมุดครับ

ลด ละ เลิกการใช้เสียงเถอะครับไม่ต้องคิดถึงบรรณารักษ์ก็ได้
แต่อยากให้คิดถึงผู้ใช้ห้องสมุดคนอื่นๆ นะครับ

ห้องสมุดพฤกษศาสตร์ประกาศรับสมัครบรรณารักษ์

ประกาศรับสมัครงานห้องสมุดมาอีกแล้วจ้าาา ใครสนใจรีบมาอ่านเลย
วันนี้ห้องสมุดพฤกษศาสตร์ ภายใต้สังกัดกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ส่งมาให้ช่วยประชาสัมพันธ์
ดังนั้นใครสนใจก็อ่านคุณสมบัติด้านล่างนี้เลยนะครับ

animal-plant-library

รายละเอียดของงานบรรณารักษ์เบื้องต้น
ชื่อตำแหน่ง : บรรณารักษ์ (จ้างรายเดือน)
สถานที่ทำงาน? : ห้องสมุดพฤกษศาสตร์ ในกลุ่มงานหอพรรณไม้และฐานข้อมูล กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
เงินเดือน : 9,000 บาท
เริ่มงานได้ทันที

เอาเป็นว่าคร่าวๆ ก้อย่างที่บอกนะครับว่า เป็นบรรณารักษ์จ้างรายเดือน
และที่สำคัญคือรับด่วนมาก ใครสมัครแล้วสามารถเริ่มได้เลยก็จะดีมากนะครับ

คุณสมบัติของตำแหน่งนี้
– วุฒิปริญญาตรีด้านบรรณารักษศาสตร์ หรือสารสนเทศศาสตร์
– มีความรู้ด้านคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตที่ดี
– มีความรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการติดต่อสื่อสารได้ดี
– สามารถใช้โปรแกรมพื้นฐานคอมพิวเตอร์ได้
– สามารถใช้โปรแกรมตัดแต่งรูปภาพ photoshop ได้
– มีความรับผิดชอบและรอบคอบ
– มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี

คุณสมบัติ ผมว่าเพื่อนๆ คงผ่านหมดแหละครับ
เอาเป็นว่างานก็อยู่ตรงหน้าพวกคุณแล้ว เพียงแต่คุณจะเลือกหรือไม่ก็เท่านั้น

เอาเป็นว่าถ้าเพื่อนๆ สนใจตำแหน่งนี้ หรืออยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติม
สามารถติดต่อได้ที่ คุณนันท์นภัส? ภัทรหิรัญไตรสิน (np_pat@dnp.go.th)

สำหรับที่อยู่ของห้องสมุดพฤกษศาสตร์ ในกลุ่มงานหอพรรณไม้และฐานข้อมูล
61 ถนนพหลโยธิน จตุจักร กรุงเทพฯ 10900 โทร 0 2561 0777 ต่อ 1476

สำหรับวันนี้ผมก็ขอตัวก่อนแล้วกันนะครับ
และต้องขอบคุณเพื่อนๆ เครือข่ายบรรณารักษ์ที่ส่งข่าวงานบรรณารักษ์มาให้ผมประชาสัมพันธ์เรื่อยๆ
เอาเป็นว่าเมื่อไหร่ที่คุณต้องการความช่วยเหลือ ผมก็พร้อมที่จะช่วยเหลือทุกๆ คนเช่นกัน

บรรณารักษ์ต้องเข้มแข็งถ้าพวกเราสามัคคีกันในวิชาชีพ

อบรมการจัดการห้องสมุดเสมือนออนไลน์

วันนี้ผมมีงานอบรมดีๆ มาฝากเพื่อนๆ ครับ แต่ต้องรีบสมัครกันหน่อย
เพราะว่ารับแค่ 20 คนเท่านั้น และงานจะจัดในวันที่ 24 มกราคม นี้แล้ว
เป็นงานที่เกี่ยวกับการแนะนำเรื่องการจัดการห้องสมุดเสมือนออนไลน์ เพื่อสร้างห้องหนังสือส่วนตัว

frontpage_activities105

รายละเอียดเบื้องต้นเกี่ยวกับงานนี้
ชื่องาน : อบรมการจัดการห้องสมุดเสมือนออนไลน์ เพื่อสร้างห้องหนังสือส่วนตัว
วันและเวลาที่จัดงาน : วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม 2553 เวลา 13.00-16.00 น. (ลงทะเบียนเที่ยงเป็นต้นไป)
สถานที่ : ศูนย์การเรียนรู้เพื่อผู้ประกอบการ SMEs ธนาคารกสิกรไทย จามจุรีสแควร์ ชั้น 2

คำถามเหล่านี้จะได้รับคำตอบ…
เคยไหม? ที่ซื้อหนังสือมาเยอะมากแต่ยังไม่มีเวลาอ่านเก็บไว้จนลืมไปแล้วว่าไปอยู่ที่ไหน
เคยไหม? ที่อยากรู้ว่ามีใครที่อ่านหนังสือ แบบที่เรากำลังอ่านอยู่บ้าง
เคยไหม? ที่คิดว่าการใช้คอมพิวเตอร์กับการอ่านหนังสือเป็นคนละเรื่องเดียวกัน
แล้วอยากรู้ไหมว่า ใครบางคนที่อ่านหนังสือ ที่เปลี่ยนชีวิต? นั้นไม่ได้หยุดเพียงแค่การอ่าน

โครงการนี้เป็นโครงการที่ร่วมมือกันระหว่าง
– โครงการนักอ่านจิตอาสา
– บริษัทเพื่อสังคม Opendream
– เครือข่ายบรรณารักษ์รุ่นใหม่ libraryhub

ภาพรวมของการอบรมในครั้งนี้ก็คือ เพื่อให้ผู้ที่เข้าร่วมอบรมได้รู้จักการจัดการห้องสมุดเสมือนส่วนตัว Online
พร้อมกับเรียนรู้โปรแกรมช่วยจัดการเก็บหนังสือและค้นหาง่ายๆ กับโปรแกรม Alexandia
เพื่อช่วยจัดระบบข้อมูลหนังสือที่เรามีอยู่ในห้องหรือบ้านของเราให้เป็นระบบมากขึ้น
ทั้งนี้ยังช่วยให้เราได้เจอเพื่อนๆที่อ่านเรื่องเดียวกันอยู่ ตลอดจนคนที่อ่านหนังสือแบบเดียวกันมาแบ่งปันกัน

กำหนดการสำหรับการอบรม
12.00 – 13.00? ลงทะเบียน
13.00 ? 13.45? ห้องสมุดเสมือนออนไลน์คืออะไร? มีประโยชน์อย่างไร?
13.45 ? 15.00? จะจัดการห้องสมุดส่วนตัวออนไลน์ได้อย่างไร ด้วยโปรแกรม Alexandia
15.00 ? 16.00? แนะนำชั้นหนังสือออนไลน์ต่างๆ ที่คุณสามารถเข้าร่วมได้

เอาเป็นว่า น่าสนใจมากๆ เลยใช่มั้ยครับ

ผมเองก็ได้บรรยายในช่วงสุดท้ายพอดี “แนะนำชั้นหนังสือออนไลน์ต่างๆ ที่คุณสามารถเข้าร่วมได้”
หลักๆ ก็ไม่มีอะไรมากแค่แนะนำการใช้งาน Librarything และ Shelfari ครับ

ถ้าเพื่อนๆ สนใจก็ขอเชิญลงทะเบียนได้ที่
http://spreadsheets.google.com/viewform?hl=en&formkey=dEdIbDFHeXpvZXVXVmRYbkUyRkRERFE6MA

รีบๆ หน่อยนะครับ ที่นั่งมีจำกัดจริงๆ

ตามหาห้องสมุดในฝันในร้านหนังสือ

อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะครับว่า “ห้องสมุด” อะไรจะไปอยู่ในร้านหนังสือ
“ห้องสมุดในฝัน” ที่ผมหมายถึง นั่นคือ ชื่อหนังสือ ของอาจารย์น้ำทิพย์ครับ

book-in-library

รายละเอียดเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้
ชื่อเรื่อง : ห้องสมุดในฝัน
ผู้แต่ง : น้ำทิพย์ วิภาวิน
ISBN : 9789748816395
ปีพิมพ์ : 2550
ราคา : 139 บาท

เรื่องที่ผมจะเขียนนี้คงไม่ใช่การแนะนำหนังสือหรอกนะครับ
แต่ผมจะเล่าเรื่องการหาซื้อหนังสือหมวดหมู่บรรณารักษ์ในร้านหนังสือต่างหาก

เรื่องมันมีอยู่ว่า…

วันก่อนผมไปเดินเล่นที่ร้านหนังสือมา แล้วดันอยากอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับบรรณารักษ์
แต่ไม่รู้ว่าปกติในร้านหนังสือ เขาจะเอาหมวดของบรรณารักษ์ไปไว้กับหมวดอะไร
(ปกติรู้แต่ในห้องสมุด หมวดบรรณารักษ์จะอยู่ที่ 020 หรือไม่ก็ Z)

อ๋อ ลืมบอกไปก่อนเข้าร้านหนังสือ ผมได้เข้าไปดูในเว็บของร้านหนังสือนี้แล้ว
และเห็นชื่อหนังสือ “ห้องสมุดในฝัน” ว่ามีในร้านหนังสือแห่งนี้

จนปัญญาจริงๆ ครับ ไม่รู้ว่าจะหายังไงดี สุดท้ายก็ถามที่เคาน์เตอร์ชำระเงิน
พนักงานก็บอกว่าให้ลองไปหาที่ชั้นนวนิยายดู หรือไม่ก็เรื่องสั้นก็ได้

แบบว่าผมอึ้งไปชั่วขณะ นึกว่าเขาจัดหนังสือผิด
แล้วผมก็ลองเดินไปหาตามที่เขาแนะนำ ไล่หาไปสักระยะก็ยังไม่เจอ
เดินมาถามอีกที พนักงานบอกว่า “หนังสือหมด” เออเอาเข้าไปในเว็บบอกว่ามีแต่ที่ร้านหมด

สุดท้ายก็เปลี่ยนร้านไปดูที่ร้านหนังสืออื่น ปัญหาที่ผมพบเหมือนกันทุกร้าน คือ
– ไม่รู้ว่าหนังสือหมวดบรรณารักษ์ หรือห้องสมุด วางรวมกับหมวดอะไร
– พนักงานทุกคนเข้าใจว่า “ห้องสมุดในฝัน” คือ นวนิยาย
– คนขายและพนักงานทำหน้างงใส่เหมือนกัน และคำตอบสุดท้าย คือ “หมด”

เรื่องนี้ผมคงต้องปรึกษาเจ้าของร้านหนังสือหลายๆ ร้านแล้วหล่ะครับ
ว่าจะแก้ไขยังไงดี เช่น ระบุหมวดของบรรณารักษ์ ในร้านหนังสือเลยดีมั้ย
(แต่คิดในอีกแง่นึง คือ หนังสือในหมวดบรรณารักษ์มีค่อนข้างน้อย)

เอาเป็นว่าขอแนะนำสำหรับเพื่อนๆ ที่ต้องการอ่านหนังสือที่อยู่ในหมวดบรรณารักษ์หรือห้องสมุด
ให้เพื่อนๆ เดินไปหาที่ศูนย์หนังสือจุฬาแล้วกันนะครับ หรือไม่ก็เปิดเว็บไซต์แล้วสั่งซื้อออนไลน์น่าจะง่ายกว่า

ปล. สุดท้ายแล้วผมก็ได้หนังสือ “ห้องสมุดในฝัน” ด้วยการสั่งซื้อออนไลน์ครับ
เนื่องจากราคาถูกกว่า และได้รับของถึงบ้านเลย อิอิ

เว็บไซต์ศูนย์หนังสือจุฬาฯ – http://www.chulabook.com/

เว็บไซต์ซีเอ็ดยูเคชั่น – http://www.se-ed.com/

เรื่องของเทคโนโลยีที่ไม่เคยเกิดกับห้องสมุดแห่งนี้

ห้องสมุดของสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งมีลักษณะเช่นนี้ ผมเลยขอเอามาให้เพื่อนๆ ช่วยวิจารณ์กันหน่อยแล้วกัน
เนื่องจากองค์กรแห่งนี้เน้นเทคโนโลยีต่างๆ นานาในสถาบันการศึกษา แต่ไม่เคยสนใจห้องสมุด

technology-lib

แม้ว่าเทคโนโลยีจะถูกเน้นให้เกิดในองค์กร แต่ก็ถูกละเลยจากบุคลากรในองค์กรอยู่ดี เช่น

– การติดต่อสื่อสารด้วยเทคโนโลยี VOIP แต่ก็ไม่เคยมีใครใช้
– แจก Ipod ให้บุคลากรแต่ใช้ไม่เป็น
– อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง แต่มีไว้โหลดหนัง โหลดเพลง
– มีการจัดสอบวัดความรู้ด้านไอทีในองค์กร แต่สามารถส่งตัวแทนไปสอบได้
– ระบบการให้บริการด้วยเว้บไซต์ออนไลน์ แต่คนส่วนใหญ่ใช้ไม่เป็นสุดท้ายก็ต้องเดินมาที่แผนก
– เว็บไซต์องค์กรที่ไม่เคยอัพเดทเลย

นี่คือสิ่งที่องค์กรตอบสนองให้บุคลากรในหน่วยงาน แต่สิ่งที่ได้มาคือความไร้ค่ามากๆ
บ้างก็ใช้ไม่เป็น บ้างก็นำไปใช้ผิดจุดประสงค์ กลุ้มใจแทนองค์กรเลยครับ

ทีนี้หันมาดูที่ห้องสมุดบ้างดีกว่า
1. มีคอมพิวเตอร์เพื่อให้บริการสืบค้น (ที่โต๊ะบรรณารักษ์เท่านั้น)
2. ระบบห้องสมุดอัตโนมัติเป็นระบบที่ใช้ได้เสถียรที่สุด และไม่ยืดหยุ่นให้ใคร (วันหยุดก็จะคิดค่าปรับแถมให้ด้วย)
3. เครื่องทำสำเนาของสื่อโสตฯ ทำได้ (แต่เอากลับบ้านไปทำนะบรรณารักษ์)
4. ชั้นหนังสือมีจำนวนมาก (แต่หนังสือมากกว่า)
5. มีสื่อโสตฯ มากมาย (เอากลับไปดูที่บ้านนะครับ)
6. มีเว็บห้องสมุด (แต่ต้องไปฝากคนอื่นเอาขึ้น server)

นอกจากเรื่องที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว จริงๆ ยังมีอีกหลายเรื่องนะครับ
แต่ขอเอาไว้เล่าให้ฟังต่อคราวหน้าดีกว่า เพราะแค่นี้ยิ่งอ่านก็ยิ่งสลดแล้ว

สุดท้ายก็ขอฝากให้เพื่อนๆ ช่วยกันคิดหน่อยนะครับว่าสาเหตุมาจากอะไร แล้วเราสามารถแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร

True Corp. กำลังต้องการคนมาช่วยทำ Digital Library

วันนี้มีงานมาแนะนำอีกแล้วครับ ซึ่งงานในวันนี้ที่จะแนะนำขอบอกว่าน่าสนใจมากๆ ครับ
ซึ่งทางฝ่าย HR ของ TRUE ได้ส่งมาให้ผมช่วยลงประชาสัมพันธ์ เอาเป็นว่าลองอ่านข้อมูลก่อนนะครับ

truecorp

รายละเอียดทั่วไปของงานนี้ (ขอ Copy จาก Mail มาเลยดีกว่า)

“บริษัท True กำลังต้องการหาคนมาช่วยทำ Digital Library โดยมีรายละเอียดของตำแหน่งงานตามนี้
หลักๆ ก็คือ งานบริการให้แก่ลูกค้าของ ทรู ที่จะเข้าไปใช้บริการในส่วนของ Digital Content ที่ร้านใหม่ของเราซึ่งอยู่ในย่านสยามแสควร์”

เอาเป็นว่าแค่อ่านรายละเอียดของเมล์นี้แล้ว ผมรู้สึกสนใจเกี่ยวกับ project นี้มากๆ
แถมชื่อตำแหน่งก็ดูน่าสนใจและดึงดูดชวนให้อยากทำงานเลยก็ว่าได้

เราลองไปดูคุณสมบัติและภาระงานของตำแหน่งนี้กันก่อนดีกว่า

ชื่อตำแหน่ง : True Digital Library Specialist

คุณสมบัติของตำแหน่งนี้? :
– Masters in any fields
– Knowledge of and/or experience with all aspects of digital content including acquisitions, cataloging and metadata control, collection management, document-delivery, electronic resources and reference.
– A strong focus in digital content is required as is a keen interest and desire to work with the often dynamic and changing special digital library environment.
– Experience with national and international music, web design and programming.
– Teamwork and leadership capabilities are required, along with strong interpersonal and communication skills.
– Must have the ability to take initiative and to be self directed and motivated.
– Able to demonstrate their project management, analytical, and problem solving skills, with an aptitude for complex and detailed work.
– Strong service orientation to customers and to co-workers is a must.

ภาระงานที่ต้องรับผิดชอบ : Primary tasks
1. Provide expertise and leadership in the creation and maintenance of metadata for digital content acquired by True.
2. Help to develop, refine, and implement policies, procedures, workflows, and metadata standards for the True Digital Library; manage digitization projects; and participate in the overall management.
3. Provide descriptive, technical, and structural metadata for digital content.
4. Evaluate and maintain quality control of Digital Content operations.
5. Maintain documentation on Digital Content best practices.
6. Analyze metadata needs and provide estimated metadata costs and timeline for proposed projects.
7. Design, implement, and manage project workflows.
8. Collaborate with other Institution and Libraries staff in selection of digital projects and content.
9. Promote and report on Digital Content local, regional, and national communities.
10. Attracts potential customers by answering product and service questions; suggesting information about other products and services.
11. Recommends potential products or services to management by collecting customer information and analyzing customer needs.
12. Opens customer accounts by recording account information. Maintains customer records by updating account information.
13. Contributes to team effort by accomplishing related results as needed.

เป็นยังไงกันบ้างครับกับภาระงานในตำแหน่งนี้
หลักๆ ก็คือดูแล Digital Content ต่างๆ ของ True เช่น Music Movie ฯลฯ
โดยการจัดระบบของสื่อต่างๆ เหล่านี้ก็คงต้องใช้ Meta Data เข้ามาควบคุมในเรื่องการจัดระบบ
รวมไปถึงงานวางระบบงานต่างๆ ที่เกี่ยวกับการจัดทำ จัดหา และพัฒนา Digital Content ด้วย

เอาเป็นว่านี่อาจจะเป็นโมเดลใหม่ของการจัดการระบบห้องสมุดดิจิตอลเลยก็ว่าได้ครับ

หากเพื่อนๆ สนใจงานตำแหน่งนี้ ให้ส่ง resume ไปที่ chitsana_wan@truecorp.co.th ได้เลยนะครับ
แล้วก็แจ้งว่ารู้ข่าวจาก Libraryhub นะครับ

ขอบให้เพื่อนๆ โชคดีกันนะครับ

ปล. แอบเสียดายนะครับ อยากสมัครด้วยแต่ผมยังมีงานที่ต้องทำให้เสร็จก่อน
เอาไว้จบโครงการนี้แล้วเดี๋ยวผมจะไปสมัครด้วยคนนะ อิอิ

?ผมยืมหนังสือไปสอนนักศึกษา? ผมต้องเสียค่าปรับหนังสือด้วยหรอ?

นี่อาจจะเป็นเพียงปัญหาที่บรรณารักษ์เจออยู่บ่อยๆ แต่พูดอะไรไม่ได้เท่านั้น
วันนี้ผมขอนำมาเรียบเรียงใหม่เพื่อให้เพื่อนๆ แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับการแก้ปัญหาในเรื่องนี้

overdue-library

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริงในช่วงที่ผมเป็นบรรณารักษ์สถานศึกษาแห่งหนึ่ง
ในตอนนั้นบรรณารักษ์ของที่นี่จะถูกจำกัดตำแหน่ง คือ “เจ้าหน้าที่” ไม่ใช่ “บรรณารักษ์”
ดังนั้นอาจารย์หลายๆ คนในสถานศึกษาแห่งนี้มักจะใช้อำนาจในการต่อรองต่างๆ นานา

อาทิเช่นเรื่องการจ่ายค่าปรับที่ผมจะเล่านี้…

ก่อนอื่นผมขอเกริ่นเรื่องนโยบายของห้องสมุดก่อนนะครับ
สำหรับการยืมหนังสือของอาจารย์ 1 คน ยืมได้ 10 เล่ม และได้ระยะเวลา 1 เดือน
หากคืนเกินกำหนด ก็จะต้องเสียค่าปรับ เล่มละ 5 บาท / วัน

เข้าเรื่องแล้วกันนะครับ เรื่องมีอยู่ว่า…
มีอาจารย์แผนกหนึ่งเอาหนังสือมาคืนที่ห้องสมุด แล้วระบบแจ้งเตือนว่า “คืนหนังสือเกินกำหนด”
ซึ่งทำให้มีค่าปรับหนังสือ 15 บาท ดังนั้นบรรณารักษ์จึงจำเป็นที่จะต้องปรับอาจารย์คนนั้น

แต่ปัญหาก็เกิดขึ้นตรงที่ว่าอาจารย์ท่านนี้ไม่ยอมจ่าย ด้วยการให้เหตุผลว่า
?ต้องปรับผมด้วยหรอครับ ในเมื่อผมก็ยืมหนังสือไปสอนนักศึกษา
นี่ผมใช้เพื่อการเรียนการสอนนะ ไม่ได้เอาไปอ่านเล่นหรือเอาไปดอง?

ทางบรรณารักษ์ก็ให้เหตุผลว่ามันเป็นกฎระเบียบที่ห้องสมุดตั้งขึ้น
ถ้าจะขอยกเว้นเรื่องค่าปรับหนังสือก็ต้องเขียนหนังสือให้เหตุผลแบบเป็นลายลักษณ์อักษร

แต่อาจารย์คนนี้ก็ยังไม่ยอมจ่าย หรือไม่ยอมเขียนหนังสือใดๆ
(ทั้งๆ ที่อาจารย์คนอื่นๆ เวลาทำผิดกฎเขาจะรู้ตัวเองและยอมทำตามกฎที่ห้องสมุดกำหนดไว้)

สุดท้ายอาจารย์ท่านนี้ก็ยืนยันว่าไม่จ่าย แถมยังขู่ว่าจะเอาไปฟ้องผู้บริหารขององค์กรอีก
ในข้อหา “บรรณารักษ์ปรับค่าหนังสือที่คืนกำหนดกับอาจารย์ที่นำไปใช้ในการเรียนการสอน”

สรุปค่าปรับแค่ 15 บาท อาจารย์คนนี้สามารถทำให้เป็นเรื่องใหญ่ได้ขนาดนี้

สำหรับความเห็นส่วนตัวของผม

การยืมหนังสือไปใช้เพื่อการเรียนการสอนเป็นสิ่งที่เหมาะสม
หากถึงวันที่กำหนดคืนแล้วยังใช้หนังสือเล่มนั้นไม่เสร็จ ก็น่าจะแจ้งห้องสมุดเพื่อต่ออายุการยืม
หรือไม่ก็ทำหนังสือมาเพื่อเป็นลายลักษณ์อักษร ไม่ใช่ว่าจะมาบอกปากเปล่าว่าไม่จ่าย
เพราะทางห้องสมุดก็ต้องทำบัญชีส่งฝ่ายกการเงินเช่นกัน
หากระบบแจ้งค่าปรับกับเงินที่ส่งให้ไม่สอดคล้องกัน ห้องสมุดจะได้มีหลักฐาน

วิธีแก้ที่ผมจะขอเสนอ
สำหรับอาจารย์อย่างเดียวคือถ้าคืนหนังสือเกินกำหนด
เราจะไม่ปรับตรงบริเวณเคาน์เตอร์ยืม-คืน แต่เราจะปรับทุกสิ้นเดือน (ตัดเงินเดือนแทน)
และทุกๆ ครั้งที่เปิดเทอมใหม่หลังจากเราอบรมการใช้ห้องสมุดให้นักศึกษาแล้ว
ควรจะจับอาจารย์มาอบรมการใช้และกฎระเบียบของห้องสมุดด้วย
(ขนาดกฎเรื่องการปรับค่าหนังสืออาจารย์ยังไม่รู้เลย สมควรอบรมและชี้แจงอย่างยิ่ง)

เพื่อนๆ ว่ามีวิธีแก้ไขเรื่องนี้อย่างไร หรือต้องการให้เรื่องนี้เป็นอย่างไร อย่าลืมมาเล่าให้ฟังนะครับ

————————————————

อ่านเรื่องแนวทางการแก้ไขเรื่องค่าปรับหนังสือที่พี่โตเขียนตอบได้ ในเรื่อง “ว่าด้วยค่าปรับหนังสือ”
อ่านได้ที่ http://iteau.wordpress.com/2007/08/15/libraryfine/

สุดท้ายนี้ก็ขอขอบคุณพี่โต ที่เสนอแง่คิดดีๆ ให้พวกเราอ่านด้วยครับ

หาหนังสืออ่านเล่นใน Google books search ดีกว่า

เรื่องนี้เขียนมานานแล้ว แต่อยากให้อ่านกันอีกสักรอบครับ
เกี่ยวกับการสืบค้นหนังสือโดยเฉพาะพวก text book ในเว็บไซต์ Google Books Search

textbook

ทำไมผมต้องแนะนำให้ใช้ Google Books Search หรอ….สาเหตุก็มาจาก :-
ข้อจำกัดของการใช้ Web OPAC ที่สืบค้นได้แต่ให้ข้อมูลเพียงแค่รายการบรรณานุกรมของหนังสือเท่านั้น
แต่ไม่สามารถอ่านเนื้อเรื่องของหนังสือเล่มนั้นได้ เพราะฉะนั้นผู้ใช้จึงต้องเดินทางมายืมหนังสือที่ห้องสมุด
แต่ลองคิดสิครับว่าถ้าห้องสมุดปิด เพื่อนๆ จะอ่านเนื้อเรืองของหนังสือเล่มนั้นได้ที่ไหน

และนี่คือที่มาของการสืบค้นหนังสือบนโลกออนไลน์

ปัจจุบัน Search Engine ที่มีผู้ใช้งานในลำดับต้นๆ ของโลก ทุกคนคงจะนึกถึง Google
เวลาที่เราต้องการข้อมูลอะไรก็ตามเราก็จะเริ่มที่หน้าของ Google แล้วพิมพ์คำที่เราต้องการค้น เช่น ระบบสารสนเทศ
ผลของการสืบค้นจากการใช้ Search Engine จะมีสารสนเทศจำนวนมากถูกค้นออกมา
เพื่อให้ผู้ใช้ได้เลือกใช้ ผู้ใช้สามารถได้เนื้อหาและข้อมูลในทันที แต่เราจะเชื่อถือข้อมูลได้มากเพียงไรขึ้นอยู่กับแหล่งที่มาของข้อมูล
รวมถึงเราจะนำข้อมูลที่ได้จากอินเทอร์เน็ตไปอ้างอิงประกอบได้หรือไม่
แล้วเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเอกสารที่เราสืบค้นมีใครเป็นผู้แต่งที่แท้จริง

googlebooks

Google Book Search – http://books.google.com/
เป็นบริการใหม่ของ Google ที่ให้บริการในการสืบค้นหนังสืออิเล็ทรอนิกส์ผ่านทางอินเทอร์เน็ต
ซึ่งผลจาก การสืบค้นปรากฎว่าได้สารสนเทศแบบเต็ม (Full-text Search)
ซึ่งช่วยให้ผู้ที่ทำงานวิจัยอาจารย์ นักศึกษา สามารถค้นหนังสือและอ่านหนังสือได้อย่างไม่มีข้อจำกัดทางด้านถานที่และเวลา

ยกตัวอย่างจาก นาย ก. เช่นเดิมที่ค้นหนังสือสารสนเทศในตอนเที่ยงคืนของวันอาทิตย์
หากนาย ก. ใช้บริการ Google Books Search ในตอนนั้น นาย ก. ก็จะได้ข้อมูลในทันที ไม่ต้องรอมาที่ห้องสมุด

แต่อย่างไรก็ตาม Google Books Search ยังมีข้อจำกัดหนึ่งสำหรับคนไทยคือ
ยังไม่สามารถสืบค้นหนังสือฉบับภาษาไทยได้ ดังนั้นหนังสือที่ค้นได้จะอยู่ในภาษาอื่นๆ เท่านั้น
คนไทยคงต้องรอกันอีกสักระยะมั้งครับถึงจะใช้ได้อย่างสมบูรณ์

แต่ถ้าอนาคต Google ทำให้สามารถค้นหนังสือภาษาไทยได้ถึงต่อนั้น
Google คงเป็นหนึ่งในคู่แข่งของห้องสมุดแน่ๆ อีกไม่นานต้องรอดูกันไป

ปล. มีบทความนึงที่น่าสนใจ เกี่ยวกับเรื่อง Full-text Searching in Books
เป็นบทความที่พูดถึง Google Books Search และ Live Search Books

วันนี้ผมขอแนะนำเพียงเล็กน้อยไว้วันหลังผมจะมา demo
และสอนเทคนิคการสืบค้นอย่างสมบูรณืแล้วกันนะครับ

นักศึกษาภาคค่ำก็ต้องการใช้ห้องสมุดเหมือนกัน

วันนี้ผมขอเขียนถึงเรื่องการให้บริการห้องสมุดในช่วงกลางคืนบ้างนะครับ และเข้าใจว่าหลายๆ ห้องสมุดก็ให้บริการซึ่งดีอยู่แล้ว
แต่ห้องสมุดบางแห่งกลับละเลยเกี่ยวกับการให้บริการผู้ใช้เฉพาะกลุ่มโดยเฉพาะ “นักศึกษาภาคค่ำ” หรือ “นักเรียนภาคค่ำ
ซึ่งวันนี้ผมจะเขียนแสดงความคิดเห็นในฐานะของผู้ใช้บริการห้องสมุดและผู้ให้บริการห้องสมุดให้เพื่อนๆ อ่านกัน

libraryinnight

เมื่อสถาบันการศึกษาเปิดรับนักเรียนหรือนักศึกษาภาคค่ำแล้ว (โดยเฉพาะโรงเรียนอาชีวะ โรงเรียนพาณิชย์ ฯลฯ)
การบริการสนับสนุนด้านการศึกษา เช่น ห้องสมุด จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับนักเรียน หรือ นักศึกษาดังกล่าว
เนื่องจากนักเรียนและนักศึกษาเหล่านี้ก็ต้องจ่ายค่าเทอมและค่าบริการต่างๆ ให้กับสถาบันการศึกษา เช่น ค่าบำรุงห้องสมุด ฯลฯ

หลายๆ สถาบันการศึกษาก็มีการบริการห้องสมุดให้นักศึกษาภาคค่ำด้วยโดยจะเปิดให้บริการดึกขึ้น
แต่ประเด็นตรงนั้นผมจะไม่พูดถึง แต่จะขอกล่าวถึงบางสถาบันการศึกษาเท่านั้น
ที่มีการเปิดการเรียนการสอนภาคค่ำแต่ไม่จัดบริการพื้นฐานดังกล่าว
โดยเหตุการณ์นี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในฐานะที่ผมเป็นทั้งผู้ใช้บริการและผู้ให้บริการ

มุมมองของผมในฐานะผู้ใช้บริการ (นักศึกษาปริญญาโทภาคค่ำ) ต่อห้องสมุดคณะ
ผมเรียนปริญญาโทในภาคค่ำ ซึ่งเรียนเวลา 18.00 – 21.00 น. แต่ห้องสมุดของสถาบันที่ผมเรียนปิดเวลา 21.00 น.
ซึ่งทำให้ผมไม่ค่อยมีโอกาสได้ใช้ห้องสมุดในวันที่ผมเรียน เนื่องจากพอเรียนเสร็จห้องสมุดก็ปิดไปแล้ว
และข้อจำกัดของคนที่เรียนปริญญาโทภาคค่ำ คือ เป็นคนที่ทำงานประจำอยู่แล้ว พอมาถึงที่เรียนก็มักจะถึงเวลาเข้าเรียนพอดี
ดังนั้นหากพิจารณาจากเหตุการณ์ต่างๆ จะรู้ว่านักศึกษาเหล่านี้แทบไม่ได้ใช้ห้องสมุดเลยในช่วงกันธรรมดา


มุมมองของผมในฐานะบรรณารักษ์ของสถานศึกษาที่มีการเปิดหลักสูตรภาคค่ำ

นโยบายของผู้บริหารมีการกำหนดช่วงเวลาการเปิดปิดห้องสมุดอย่างชัดเจน คือ ให้บริการในช่วงเวลา 8.00 – 18.00 น.
ซึ่งทางบรรณารักษ์ได้ยื่นเรื่องขอขยายเวลาในการเปิดให้บริการห้องสมุดไปจนถึงเวลา 22.00 น.
แต่ผู้บริหารปฏิเสธในการขยายเวลาเนื่องจากมองในเรื่องของการใช้ทรัพยากรและความคุ้มค่าของการให้บริการเป็นหลัก
(ได้แก่ ค่าน้ำ ค่าไฟ เครื่องปรับอากาศ ค่าจ้างพนักงานล่วงเวลา ฯลฯ)

อ่านแล้วเข้าใจภาพรวมกันบ้างหรือยังครับ จริงๆ แล้วเรื่องนี้สำหรับผมเองในฐานะที่เป็นบรรณารักษ์
ผมก็อยากให้บริการห้องสมุดกับนักศึกษาภาคค่ำด้วยเช่นกันนะครับ ผมใช้หลักการเอาใจเขามาใส่ใจเรานะครับ
ลองมองย้อนว่าถ้าคุณเป็นนักศึกษาเหล่านี้ คุณเองอยากจะใช้ห้องสมุดบ้างหรือปล่าว

แนวทางที่ผมจะเสนอจะทำได้หรือไม่ได้อันนี้เพื่อนๆ ก็ลองพิจารณากันดูนะครับ
ผมขอเสนอให้ห้องสมุดปิดหลังจากหมดการเรียนการสอนของนักศึกษาภาคค่ำสัก 1 ชั่วโมงครับ
เช่น ถ้านักศึกษาภาคค่ำเลิกเรียน 21.00 น. ห้องสมุดก็ควรปิดสักประมาณ 22.00 น.

ทั้งนี้ก็เพื่อให้บริการในการยืมคืนกับนักศึกษาภาคค่ำบ้าง

สุดท้ายก็ขอฝากว่า “การบริการเราต้องยึดผู้ใช้เป็นหลัก ไม่ใช่ยึดความสบายของบรรณารักษ์เป็นหลัก”
อย่างน้อยนักศึกษาภาคค่ำจะได้ไม่ต้องมาบ่นว่า ?เสียเงินจ่ายค่าห้องสมุดไปแล้วไม่เห็นได้ใช้เลย?

เรื่องเล่าของผมกับห้องสมุดในวัยเด็ก

ก่อนอื่นต้องขออวยพรให้เด็กๆ อนาคตของชาติสักหน่อยดีกว่า เนื่องจากวันนี้เป็น “วันเด็กแห่งชาติ”
ผมอยากเห็นอนาคตของชาติรักการอ่านมากๆ และมีความคิดสร้างสรรค์มากๆ ครับ

library-kid

คำขวัญวันเด็กปี 2553 = “คิดสร้างสรรค์ ขยันใฝ่รู้ เชิดชูคุณธรรม”

วันนี้ผมขอเขียนเรื่องแบบสบายๆ หน่อยแล้วกัน และขอเข้ากับบรรยากาศวันเด็กนิดๆ นะ
ประมาณว่าจะขอเล่าเรื่องสมัยตอนผมเป็นเด็กแล้วกัน เกี่ยวกับการใช้ห้องสมุดในวัยเด็กของผม

ผมเริ่มชอบห้องสมุดตั้งแต่เมื่อไหร่น้า…

ผมคงต้องเริ่มต้นเล่าตั้งแต่สมัยผมเรียนเลยหล่ะมั้ง
ซึ่งผมเรียนอยู่ที่โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรีมาตลอดตั้งแต่ ป.1 ถึง ม.6
ผมยังคงจำห้องสมุดโรงเรียนแห่งนี้ได้เสมอและเห็นการเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด

หลักๆ การเปลี่ยนแปลงห้องสมุดครั้งใหญ่ที่ผมเห็นมีอยู่ 3 ครั้ง ดังนี้

1. ห้องสมุดเล็กๆ ที่ให้บริการแบบดั้งเดิมต้องยืมคืนด้วยบัตรกระดาษ และยังไม่มีคอมพิวเตอร์เข้ามาให้บริการ
ภายในห้องสมุดเองก็ติดพัดลมไว้ทั่ว ยังไม่มีเครื่องปรับอากาศเลย แต่ห้องสมุดก็ไม่ร้อนนะ
คนมายืมหนังสือที่นี่ก็เยอะเหมือนกัน จะยืมแต่ละทีต้องเข้าแถวรอนานมาก
แต่ผมเองก็ใช้บริการแทบจะทุกสัปดาห์เลย ตอนนั้นจำได้ว่าอยู่ประมาณ ป.3-4 ได้มั้ง
หนังสือที่ผมยืมส่วนใหญ่จะเป็นหนังสือที่มีภาพเยอะๆ พวกการ์ตูนวิทยาศาสตร์ครับ

2. ห้องสมุดถูกย้ายไปอยู่อีกตึกซึ่งเป็นห้องสมุดชั่วคราวเนื่องจากตอนนั้นมีการทุบตึกห้องสมุดเดิมเพื่อสร้างห้องสมุดใหม่
ในห้องสมุดชั่วคราวนี้เปิดดำเนินการแค่ประมาณปีครึ่งเอง
แต่ก็มีเครื่องปรับอากาศในห้องสมุดนะ ซึ่งผมก็ชอบมาก และเข้าไปนั่งอ่านหนังสือเล่นประจำเพราะว่ามันเย็นดี
แต่ในช่วงนั้นผมไม่ค่อยได้ยืมหนังสือเลย หรือว่าโตแล้วเริ่มขี้เกียจนะ

3. ห้องสมุดใหม่เสร็จกลายเป็นตึกหอสมุดใหญ่มาก มีคอมพิวเตอร์เพื่อการสืบค้น มีอินเทอร์เน็ตให้เล่นด้วย
ในตึกหอสมุดใหม่นี้มีทั้งห้องคอมที่ใช้สำหรับวิชาเรียนในชั้น 2 ส่วนในชั้น 3 กับ 4 เป็นห้องสมุด
ซึ่งมีความทันสมัยมากๆ ทำให้ผมเข้ามาประจำเลย โดยเฉพาะเวลาพักเที่ยงเกือบทุกวันผมจะอยู่ที่ห้องสมุดเสมอๆ
เวลาเพื่อนจะตามหาผมก็มักจะมาหากันที่ห้องสมุดนั่นแหละ
ในช่วงนั้นเวลาใครต้องการทำรายงาน ผมจะอาสาเป็นคนค้นหาข้อมูลเพื่อประกอบรายงานตลอด
คงเป็นเพราะตอนนั้นแน่ๆ ที่ทำให้ผมอยากเป็นบรรณารักษ์มั้ง

นอกจากห้องสมุดโรงเรียนของผมแล้วผมยังมีห้องสมุดที่ผมไปประจำอีกสองที่นั่นคือ

1. หอสมุดแห่งชาติ (ไปค่อนข้างบ่อย)
ช่วงที่ผมได้รับมอบหมายให้ทำรายงาน ผมก็จะเลือกที่ค้นหาข้อมูลหลัก ซึ่งนั่นก็คือ หอสมุดแห่งชาติ นั่นเอง
เวลาอยากได้เนื้อหาอะไร ข้อมูลอะไร ความรู้อะไร คำตอบของผมที่ได้มักจะมาจากห้องสมุดเป็นหลัก
อาจจะเป็นเพราะว่าในสมัยนั่นอินเทอร์เน็ตเพิ่งจะเริ่มต้น จึงทำให้ค้นหาข้อมูลแล้วไม่ค่อยได้อะไรนั่นเอง


2. ห้องสมุดภาษาญี่ปุ่นที่สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น

เนื่องจากทุกๆ วันเสาร์ผมจะเรียนภาษาญี่ปุ่นที่นั่นและในห้องสมุดนั่นมีหนังสือที่สอนภาษาญี่ปุ่นมากมายด้วย
เวลามาเรียนผมจึงต้องแวะห้องสมุดนี้สักชั่วโมงเพื่อหาอะไรอ่านเล่น และเพื่อเป็นการฝึกภาษาไปในตัวด้วย

เอาเป็นว่าผมขอหยุดเวลาเด็กไว้แค่นี้ก่อนแล้วกัน
ไว้วันหลังจะมาเล่าต่อในช่วงที่ผมเรียนมหาวิทยาลัยก็แล้วกันนะครับ

สุดท้ายนี้ก็ขอให้เพื่อนๆ เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเด็กๆ ซึ่งเป็นอนาคตของชาติกันนะครับ